กีฬาแบดมินตัน เสี่ยงต่อการเกิดภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน จริงหรือไม่?

จากกรณีZhang Zhijie นักแบดมินตันดาวรุ่งชาวจีนวัย 17 ปี เสียชีวิตระหว่างแข่งขันที่อินโดนีเซีย หลังจากล้มลงกลางสนามด้วยอาการหัวใจหยุดเต้นฉับพลัน ทีมแพทย์ได้พยายามช่วยเหลือและนำตัวส่งโรงพยาบาลแต่ไม่สามารถยื้อชีวิตไว้ได้ เหตุการณ์นี้ทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับความเสี่ยงที่กีฬาสามารถส่งผลให้เกิดภาวะหัวใจวายฉับพลัน รวมถึงข้อถกเถียงว่าควรมีเครื่องกระตุกหัวใจไฟฟ้าอัตโนมัติ (AED) ติดตั้งในสนามกีฬาทุกแห่งเพื่อลดความเสี่ยงในเหตุการณ์ฉุกเฉินแบบนี้หรือไม่
จากการสัมภาษณ์คุณพีระ นนทะคำจันทร์ นักวิชาการศึกษา โรงพยาบาลสุทธาเวช และนักกีฬาแบดมินตันของทีมบุคลากรมหาวิทยาลัยมหาสารคาม เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2567 ได้ให้ข้อมูลว่า กีฬาแบดมินตันเป็นกีฬาที่มีความเข้มข้นสูงและเสี่ยงต่อการเกิดภาวะหัวใจวายเฉียบพลันได้จริง เนื่องจากลักษณะของกีฬาแบดมินตันต้องเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องในช่วงเวลาสั้น ๆ แต่เข้มข้น ทำให้อัตราการเต้นของหัวใจสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับการออกกำลังกายแบบ HIIT (High-Intensity Interval Training) ซึ่งสามารถทำให้อัตราการเต้นของหัวใจพุ่งสูงถึง 170-180 ครั้งต่อนาที หากผู้เล่นมีโรคประจำตัวซ่อนอยู่ อัตราการเต้นของหัวใจที่สูงมากอาจกระตุ้นให้เกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
ไม่เพียงแต่แบดมินตันเท่านั้น กีฬาที่ต้องการการเคลื่อนไหวรวดเร็วและเข้มข้นสูง เช่น บาสเก็ตบอล ฟุตบอล รักบี้ และอเมริกันฟุตบอล ก็มีความเสี่ยงเช่นกัน ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เช่น โรคประจำตัวของผู้เล่นและสภาพแวดล้อมในการออกกำลังกาย เช่น พื้นที่ที่ไม่อากาศถ่ายเท อาจเพิ่มความเสี่ยงได้
การช่วยเหลือกรณีเกิดภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน ในกรณีที่มีผู้ป่วยเกิดภาวะหัวใจวายเฉียบพลันจนหมดสติ การเริ่มต้นทำ CPR (การกดหน้าอก) ทันทีและโทรแจ้ง 1669 เป็นขั้นตอนที่สำคัญ นอกจากนี้ การใช้เครื่อง AED (Automatic External Defibrillator) ซึ่งเป็นเครื่องช็อกไฟฟ้าหัวใจอัตโนมัติ สามารถช่วยเพิ่มโอกาสการรอดชีวิตได้ถึง 50% โดย AED จะทำการ “อ่าน” และ “วิเคราะห์” คลื่นไฟฟ้าหัวใจของผู้ป่วยเพื่อพิจารณาการช็อกไฟฟ้าให้หัวใจกลับมาเต้นตามปกติ
ขั้นตอนการใช้เครื่อง AED
- เปิดเครื่อง AED ติดแผ่นแพดแผ่นแรกที่หน้าอกตอนบน และแผ่นที่สองที่หน้าอกตอนล่าง (ทำตามคำแนะนำบนเครื่อง) ให้เครื่องวิเคราะห์จังหวะการเต้นของหัวใจ ห้ามสัมผัสผู้ป่วยระหว่างนี้
- หากเครื่องแนะนำให้กดปุ่ม “Shock” ให้กดปุ่มนี้โดยห้ามสัมผัสผู้ป่วย และทำ CPR ต่อเนื่องเป็นเวลา 2 นาที
- หากเครื่องแนะนำว่า “สามารถสัมผัสผู้ป่วยได้” ให้ทำ CPR ทันที
ควรทำ CPR อย่างต่อเนื่อง จนกว่าเครื่องจะเริ่มวิเคราะห์จังหวะการเต้นของหัวใจอีกครั้ง ทุกนาทีที่ผ่านไปมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการรอดชีวิต
แหล่งที่มา)
https://www.komchadluek.net/kom-lifestyle/health/578488
https://www.rama.mahidol.ac.th/atrama/issue018/varieties-corner
หมวดหมู่ : HEALTH/สุขภาพ
Tags :