"สวนพฤกษศาสตร์ดงฟ้าห่วน" ปอดของคนเมืองอุบล กับการจัดการป่าแบบมีส่วนร่วม

: 22 ต.ค. 2568, 10:25 : 832

ถ้าพูดถึงผืนป่าขนาดใหญ่ในจังหวัดอุบลราชธานี ส่วนมากจะต้องนึกถึงอุทยานแห่งชาติภูจองนายอย หรืออุทยานแห่งชาติผาแต้ม ซึ่งมีระยะทางห่างจากตัวเมืองอุบลมากกว่า 100 กิโลเมตร แต่แท้จริงแล้วยังมีพื้นที่ป่าขนาดใหญ่ ที่ใกล้กับพื้นที่ตัวเมืองอุบลมาก ซึ่งระยะทางไม่ถึง 20 กิโลเมตร กล่าวว่าเป็นปอดของคนเมืองอุบลฯ 

สวนพฤกษศาสตร์และสวนรุกขชาติ

สวนพฤกษศาสตร์ดงฟ้าห่วน  หรือ “ดงฟ้าห่วน” ชื่อเรียก ป่าใหญ่แห่งนี้ ของชาวบ้านเมื่อครั้งอดีต มีความหมายถึง เสียงฟ้าร้อง ฟ้าผ่า ก้องดังกังวาน ไปทั่วบริเวณในยามฤดูฝน และผืนป่าแห่งนี้ เป็นแหล่งพึ่งพิง ด้านพืชอาหารจากป่า ของชุมชนในอดีต ในพื้นที่กว่า 3,400 ไร่ ในเขตตำบล ขามใหญ่ อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี มีการใช้ประโยชน์ทางตรงในด้านการเก็บหาของป่าประเภท เห็ด ตามฤดูกาล และมีการใช้ประโยชน์ทางอ้อม คือ การจัดกิจกรรมเข้าค่ายพักแรมของลูกเสือ เนตรนารี การเข้าไปเรียนรู้ และพักผ่อนหย่อนใจของประชาชนในเขตเมืองอุบล และนักท่องเที่ยวที่มาเยือนภายในจังหวัดอุบลราชธานี

ก่อนหน้าที่จะมีการควบคุม และบริหารจัดการจากเจ้าหน้าที่ กรมอุทยานแห่งชาติฯ ป่าแห่งนี้ ไม่ได้สวยงามอุดมสมบูรณ์เหมือนปัจจุบัน จากการคำบอกเล่าของคนในชุมชน เขตสวนพฤกษศาสตร์ดงฟ้าห่วน ในเวที การประเมินเสริมพลังโครงการประเมินผลสัมฤทธิ์และประสิทธิภาพ ของการดำเนินการบริหารจัดการทรัพยากรป่าไม้และสัตว์ป่าแบบมีส่วนร่วม ประจำปีงบประมาณ 2567 สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 9 (อุบลราชธานี )

ประชุม

โดยเมื่อวันที่ 7 - 8 กรกฎาคม 2567 ที่ผ่านมา สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 9 (อุบลราชธานี ) ร่วมกับ มูลนิธิพิทักษ์ธรรมชาติเพื่อชีวิต(NATURECARE)  จัดเวทีการประเมินเสริมพลังโครงการประเมินผลสัมฤทธิ์และประสิทธิภาพของการดำเนินการบริหารจัดการทรัพยากรป่าไม้และสัตว์ป่าแบบมีส่วนร่วม ประจำปีงบประมาณ 2567 สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 9 ขึ้น ณ สวนพฤกษศาสตร์ดงฟ้าห่วน ตำบลขามใหญ่ อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี โดย มีกลุ่มกลุ่มอาสาสมัครพิทักษ์อุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช (อส.อส.) ซึ่งเป็นชาวบ้านจากชุมชนบ้านหนองบัว และ บ้านหนองมะเขือ เป็นชุมชนที่ติดกับเขตพื้นที่ป่าสวนพฤกษศาสตร์ดงฟ้าห่วน ที่ได้สละเวลามาร่วมปฏิบัติการกับเจ้าหน้าที่ ในการพิทักษ์อุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช โดยการจัดเวทีในครั้งนี้ มุ่งหวังให้คณะทำงาน โดยมีเจ้าหน้าที่กรมอุทยานฯ และ อส.อส. ได้ทบทวนการทำงานร่วมกัน และประเมินประสิทธิภาพ เพื่อวางแผนในการขับเคลื่อนงานครั้งต่อไป ซึ่งกระบวนการในครั้งนี้ มีข้อมูลที่สะท้อนให้เห็นถึง การจัดการป่าแบบมีส่วนร่วมของเจ้าหน้าที่ กับคนในชุมชน

นายณัฐธีร์ สมวัน ผู้ใหญ่บ้าน บ้านหนองบัว หมู่ที่ 13 เล่าว่า สภาพของทรัพยากรภายในป่าเป็นอย่างมาก เนื่องจากในอดีต ยังไม่ได้มีการบริหารจัดการ เหมือนปัจจุบัน เมื่อก่อนในป่า ยังไม่มีสำนักงาน ที่มีเจ้าหน้าที่ป่าไม้ เข้าเมาดูแลป่าโดยตรง แต่อดีตจะมีแค่ป้ายสีเขียวติดไว้รอบป่า ว่าเป็นพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ โดยรวม ณ ขณะนั้น เรื่องของการเข้ามาใช้ประโยชน์พื้นที่ในป่า เช่น การใช้เป้นแหล่งอาหาร ใช้เป็นแหล่งพักพิงอาศัย การตัดไม้ไปใช้ประโยชน์ มีการใช้อยู่แล้วมาแต่ดั้งเดิม ไม่ได้มีการควบคุมที่เข้มงวด ประมาณช่วงเดือน 5 (พฤษภาคม) จะเริ่มมีการหักร้างถางพง ให้เป็นพื้นที่โล่ง มีการเผาเกิดขึ้น แล้วล้อมรั้วไว้ ใช้ประโยชน์ ทำการเกษตร เลี้ยงสัตว์ ประมาณพื้นที่ 2 – 3 งาน เส้นทางสัญจรในป่า อดีตเป็นทางเกวียน ความกว้างประมาณ 2 เมตร มีการตัดเส้น แบ่งโซนเรียกชื่อ ตามหนองน้ำ เช่น โซนด้านล่าง เรียกว่าโซนหนองอีจ่า โซนตัดมาจากหมู่ 13 เรียนว่า โซนพ่อใหญ่หมื่น ตัดลงมา ที่หนองโศก จนอยู่มาช่วงหนึ่ง เนื่องจากการควบคุมการใช้ประโยชน์จากป่าไม้ ไม่เข้มงวดเท่าที่ควร ผู้คนมาตัดไม้ ไปทำที่อยู่อาศัยบ้าง ตัดไปทำการค้าขายบ้าง จนสภาพป่าเกิดเป็นช่องโหว่ มองทะลุข้ามหมู่บ้านมองเห็นแสงทะลุผ่าน ซึ่งไม่เหมือนแต่ก่อน สังเกตได้ว่า สภาพป่าบางลงมากไม่หนาทึบเหมือนอดีต ต้นไม้ขนาดกลางแทบไม่เหลือ เหลือแต่ไม้ใหญ่เป็นหลัก แต่พอเริ่มมีเจ้าหน้าที่เข้ามาดูแลในพื้นที่ สภาพป่าก็ได้รับการดูแล มีการเวนคืน ที่ดินแนวเขตของป่าไม้ จนมาถึงปัจจุบัน ก็ได้มีการปรับปรุงพัฒนามาเรื่อย ๆ  ในส่วนของเส้นทางสัญจรในป่า เส้นทางจักรยาน สิ่งปลูกสร้าง ศาลาที่พักต่าง ๆ ทำให้เส้นทางบางส่วน หายไป หนองน้ำ บางห่างเกิดความตื้นเขิน บางหนองก็หมดสภาพความเป็นหนอง สภาพสัตว์ป่า เมื่อก่อนก็น้อย เพราะชาวบ้านไล่ล่าหากินหมด ไม่ได้มีการอนุรักษ์ จะไม่ค่อยพบเห็นสัตว์ป่า แต่ปัจจุบัน สภาพป่ามีความอุดมสมบูรณ์ มากขึ้น ทำให้สัตว์ป่ามีความหนาแน่นมากขึ้น สัตว์บางชนิดที่ไม่เคยมีในพื้นที่ ก็เริ่มมีเยอะขึ้น เช่น กระรอกป่า แต่ก็มีสัตว์บางชนิดที่หายไป เช่นแมลงทับ แมลงกินูน เมื่อก่อนมีเยอะ แต่ปัจจุบันน้อยลง อาจจะเป็นสภาพป่าที่เปลี่ยนแปลงไป เห็ดบางชนิดก็หายไป เช่น เห็ดกระปูใหญ่ เห็ดเผาะ เป็นต้น มันก็มีทั้งข้อดี และข้อเสีย เพื่อแลกมากับความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่า บางอย่างก็มีเพิ่มมากขึ้นบางอย่างก็ลดน้อยลง การเปลี่ยนแปลง ที่สำคัญ คือ สภาพป่าที่มีความหนาแน่นขึ้น มีความอุดมสมบูรณ์ขึ้นจากการตัดไม้ทำลายป่าลดน้อยลง มีการปลูกต้นไม้ทดแทน สัตว์ป่ามีความชุกมากขึ้น เส้นทางการสัญจรเพิ่มขึ้น ทรัพยกรมีความหลากหลายขึ้น พืชพรรณ เช่นพันธ์ุเห็ดที่ไม่เคยมีก็เกิดขึ้น มีแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศ เช่น สวนสัตว์ และสวนพฤกษศาสตร์เองที่พัฒนาให้เป็นแหล่งศึกษาดูงาน การกำหนดขอบเขตของป่ากับหมู่บ้านที่มีความชัดเจนมากขึ้น

 

            อดีตมีการควบคุมที่ไม่เข้มงวด ทำให้พื้นที่ป่าได้รับความเสียหาย จากการรุกล้ำของชุมชน เนื่องจากขาดการกั้นแนวเขตที่ชัดเจน สภาพของทรัพยากรในป่าไม้ทรุดโทรม ภายหลังที่มีการตั้งสำนักงาน การมีเจ้าหน้าที่ป่าไม้เข้ามาดูแล เริ่มมีการฟื้นฟูจนผืนป่ากลับมาอุดมสมบูรณ์ พืชพันธ์ ไม้ มีมากขึ้น สัตว์ป่าเริ่มกลับมาชุกชุม แต่ก็ยังพบปัญหา คนภายนอกเข้ามารุกล้ำสร้างความเสียหาย เนื่องจากจำนวนเจ้าหน้าที่มีน้อย ดูแลได้ไม่ทั่วถึง มีการสร้างสิ่งปลูกสร้างเพิ่มขึ้น เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ สร้างทั้งผลกระทบทางบวก และทางลบ ทางบวก คือ การกาสรจัดการที่เป็นระบบมากขึ้น การมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ธรรมชาติมากขึ้น แต่ผลกระทบที่เกิดต่อชุมชน คือ พื้นที่ป่าใช้ประโยชน์ของชุมชน ลดน้อยลง มีผู้คนเข้าออกป่าเป็นจำนวนมาก ทำให้ดูแลได้ยาก ไม่ครอบคลุม และทั่วถึง จึงได้มีการสร้างกลไกของ อส.อส. ขึ้นมาเพื่อเป็นแรงสนับสนุน และสร้างการมีสวนร่วม ระหว่างเจ้าหน้าที่ กับชุมชน ในการดูแลรักษา ป่าไม้ และคอยเป็นกำลังสำคัญในการสอดส่องดูแล ปลูกจิตสำนึกที่ดี สร้างความรู้สึกเป็นเจ้าของ ในการดูแลรักษาทรัพยากรในป่า

การจัดการป่าแบบกึ่งเมือง ในกรณีของ การบริหารจัดการทรัพยากรป่าไม้และสัตว์ป่าแบบมีส่วนร่วม ระหว่างอุทยานแห่งชาติ สวนพฤกษศาสตร์ดงฟ้าห่วน กับ อาสาสมัครพิทักษ์อุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช (อส.อส.) บ้านหนองบัว และบ้านหนองมะเขือ ในบริบทที่เป็นพื้นที่ใกล้เมือง วิถีชีวิตในลักษณะการประกอบอาชีพเกษตรแปลงเล็ก แปลงย่อย กลุ่มคนที่มีรายได้ปานกลางไม่ต่ำกว่าเส้นยากจน โดยทุนที่สำคัญ คือ การมีผู้นำที่เข็มแข็ง การมีแกนนำในการขับเคลื่อนงาน มีปราชญ์ หรือผู้รู้ ผุ้ที่สนใจในทรัพยากรในป่าไม้ และผู้ที่เข้ามาใช้ประโยชน์จากป่า กระบวนการที่สำคัญในการบริหารจัดการทรัพยากรป่าไม้และสัตว์ป่าแบบมีส่วนร่วม บนพื้นที่มีบริบทความเป็นกึ่งเมืองเช่นนี้ จะประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก ๆ คือ

  1. การสร้างความเข้มแข็งของชุมชน ผ่านกระบวนการของกิจกรรมที่ทำร่วมกันคือ การเฝ้าระวัง การแบ่งบทบาทการเฝ้าจุดสกัดการเข้ามาใช้ประโยชน์จากป่า การออกลาดตระเวน เพื่อตรวจตราความเรียบร้อยภายในป่า เป็นลักษณะของการทำงานแบบเป็นกลุ่มเป็นก้อน
  2. การสร้างการมีส่วนร่วมในการดูแลป่า ผ่านกระบวนการกิจกรรมที่ส่งเสริมให้สมาชิกและชุมชนได้ร่วมลงมือปฏิบัติ อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติร่วมกัน คือ การปลูกป่า การดูแลไฟป่า การทำแนวกันไฟป่า การทำความสะอาดป่า ตลอดจนเข้ามามีส่วนร่วมในการเรียนรู้ เพื่อสร้างความเข้าใจและพัฒนาศักยภาพเครือข่าย ผ่าการอบรมความรู้ ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง การดับไฟป่า การออกไปศึกษาดูงานพื้นที่ต้นแบบ
  3. การส่งเสริมอาชีพ แน่นอนว่าการที่จะมีผู้ที่เข้ามาเป็นอาสาสมัครทำเพื่อส่วนรวม ที่ต้องสละเวลา ในการทำมาหากินมาร่วมกิจกรรมเช่นนี้ อาจจะต้องมีการดูแลกัน ให้ได้รับผลประโยชน์ได้ไม่มากก็น้อย การส่งเสริมอาชีพและรายได้ เป็นกระบวนการหนึ่งที่มีความสำคัญ ที่จะช่วยให้ชุมชน หรือ อาสาสมัคร สามารถเข้าร่วมกิจกรรมได้อย่างต่อเนื่อง เช่น กรณีศึกษา ของพื้นที่นี้ คือ มีการอบรมการทำกระถางจากไม้ การเพาะชำกล้าไม้ประดับ ไม้กินได้เพื่อจำหน่าย การทดลองเพาะเชื้อเห็ด เป็นต้น

จาก 3 กระบวนการข้างต้นหากจะต้องมีการพัฒนาต่อวิทยากรได้ชวนมองต่อในภาพการจัดการ ทรัพยากรผ่านมิติของ การจัดการแบบปัจเจก การจัดการแบบกลุ่มเครือข่าย สิ่งที่ต้องคำนึงถึงเพิ่มเติม ในกระบวนการ คือ จะต้องมีการวิเคราะห์สถานการณ์ทรัพยากร เช่น ป่าไม้ การพัฒนาการ หรือแม้กระทั่งวิถีชีวิตของชุมชนกับป่า จากนั้นวิเคราะห์และเทียบเคียงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ให้ได้เห็นวิวัฒนาการ หรือการเปลี่ยนแปลงที่มันเกิดขึ้น ผลกระทบต่าง ๆ วิเคราะห์กิจกรรมและออกแบบ เทียบเคียงเป้าหมายของโครงการ ไปจนถึงการกำหนดแผนการเคลื่อนงานร่วมกัน

บทบาทความสำคัญ หรือองค์ประกอบสำคัญขององค์กรชุมชน/เครือข่ายชุมชน คือ ชุมชนมีการใช้ประโยชน์จากพื้นที่ป่า ในการเป็นแหล่งอาหาร เป้นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ สิ่งที่ทางโครงการเติมเต็มให้กับชุมชน หรือเครือข่ายที่เข้ามาร่วมบริหารจัดการ คือ แนวคิด และอุดมการณ์ในการปกปักษ์รักษาป่า มีการทำงานอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่การอนุรักษ์ ฟื้นฟู และการใช้ประโยชน์จากป่า มีการสร้างกลไกในการสนับสนุน คืออาสาสมัครพิทักษ์อุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช (อส.อส.) ที่เข้ามาช่วยหนุนเสริมเจ้าหน้าที่และสื่อสารกับชุมชน มีการเรียนรู้ ทักษะการทำงาน เช่นการอบรมการดับไฟป่า การป้องกันรักษาป่า มีการประเมินผล บทเรียนการทำงาน และปรับปรุงงาน มีการเชื่อมโยงประเด็นของแนวคิดการอนุรักษ์ไปสู่ เศรษฐกิจของชุมชน คือการมีอาชีพมีรายได้จากการใช้ประโยชน์จากป่า นำไปสู่การบริหารจัดการร่วมกัน   

บทบาทความสำคัญ หรือองค์ประกอบสำคัญของหน่วยงาน คือ ภายใต้ภารกิจที่มีความชัดเจน มีพื้นที่ ทำงานและพื้นที่รับผิดชอบที่มีความชัดเจน มีแผนปฏิบัติการ มีโครงการ มีงบประมาณ มีการสร้างเงื่อนไขและโอกาสใหม่ ๆ ในวิธีการทำงาน การเชื่อมทุนกับแหล่งสนับสนุน โดยเชื่อมโยงประเด็น ทางสังคม เช่น เรื่องการเพิ่มพื้นที่สีเขียว ก๊าซเรือนกระจก PM.2.5 พื้นที่ป่าใกล้เมือง โลกร้อนการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์โลกเป็นต้น 

          โดยหน่วยงานหรือองค์กร จะมีการเชื่อมประเด็น กาสรกับส่งเสริมกับชุมชนในพื้นที่ป่า คือ การมีแนวทางการส่งเสริมอาชีพ รายได้ให้กับชุมชนอย่างน้อย 2 – 3 อย่าง จากการใช้ประโยชน์จากป่า การมีความถี่ หรือจำนวนครั้งในการทำงานร่วมกันอย่างน้อย 2 – 4 ครั้ง มีการเชื่อมงานการสื่อสาร จากชุมชนสู่ ชุมชน (อส.อส.) ถ่ายทอด สร้างความเข้าใจ สร้างข้อตกลงร่วม ลักษณะการทำงานงานมีความยืดหยุน มีการพบปะสังสรรค์กันในลักษณะ เครือญาติ พี่น้องกัน สร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน จนนำปสู่ การมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการร่วมกันอย่างมีชีวิตชีวา มีความสุข ความสบายใจ เป็นวิถี ไม่ใช่หน้าที่ ยกระดับการอนุรักษ์ออกจากนอกกรอบเชื่อมโยง และนำไปสู่ ประเด็นทางเศษฐกิจ สังคม สุขภาพ สร้างโอกาสในการเชื่อมงาน จากการสร้างการมีส่วนร่วม ความเข้มแข็งของเครือข่าย การมีแผนร่วมมีการสนับสนุนในเชิงประเด็นของกันและกัน

          ข้อเสนอแนะเพิ่มเติม ในการมีเครือข่ายอาสาสมัครพิทักษ์อุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช (อส.อส.) จะต้องมีการถ่ายทอดให้รุ่นต่อไปได้อย่างไร การพัฒนารูปแบบการทำงานสู่การเป็นชุดความรู้ให้เป็นรูปแบบในการทำงานได้อย่างไร จะขยายทัศนะคติ ให้บุคคลภายนอก หรือนักท่องเที่ยวในการเข้ามาใช้ประโยชน์จากป่า ให้มีแนวคิดการอนุรักษ์ กาสรหวงแหนทรัพยากรธรรมชาติ มีความรับชอบ เหมือนกับคนในพื้นที่ ได้อย่างไร เป้นประเด็นที่ท้าทายและต้องดำเนินการต่อ

 

Tags :

ผู้เขียน

Autthapol
Autthapol Tongsupan